Influencer และ Content Creator ต้องเสียภาษีแบบไหน

Last updated: 29 ต.ค. 2568  |  55 จำนวนผู้เข้าชม  | 

Influencer และ Content Creator ต้องเสียภาษีแบบไหน

Influencer และ Content Creator ต้องเสียภาษีแบบไหน?


     ในยุคที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือดบนโลกออนไลน์ ทำให้มีแพลตฟอร์มหรือโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก อีกหนึ่งอาชีพที่เติบโตไปพร้อมกับกระแสเหล่านี้ก็คือ Influencer หรือเหล่า Content Creator นั่นเอง


Influencer และ Content Creator คืออะไร ?

     อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คือ บุคคลที่มีอิทธิพลต่อความคิด การตัดสินใจ หรือพฤติกรรมของผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดีย เช่น Instagram, TikTok, Facebook, Twitter หรือ YouTube เป็นต้น โดยมีบทบาทสำคัญในการรีวิวสินค้า บริการ แนะนำสินค้า ไลฟ์สดขายของ ฯลฯ โดยแบรนด์จะจ้างให้โปรโมตสินค้าเพื่อสร้างการรับรู้

     คอนเทนต์ครีเอเตอร์ (Content Creator) คือ ผู้ที่ผลิตเนื้อหาในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ บทความ อินโฟกราฟิก หรือโพสต์เพื่อให้ความรู้ ความบันเทิง หรือสร้างสรรค์เนื้อหาต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์

     ผู้ประกอบอาชีพทั้งสองกลุ่มนี้ อาจจะทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป เช่น เป็นยูทูบเบอร์ที่รีวิวของ (Influencer) และทำคอนเทนต์ที่เป็นวิดีโอให้ความรู้ (Content Creator) ในช่องของตัวเองไปด้วย โดยมีจุดร่วมคือการสร้างรายได้จากเนื้อหาที่เผยแพร่บนแพลตฟอร์มออนไลน์นั่นเอง


รายได้หลักของอินฟลูเอนเซอร์-คอนเทนต์ครีเอเตอร์ มาจากไหน?

     รายได้ของอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนท์ครีเอเตอร์มีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีรูปแบบการเสียภาษีที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปรายได้ส่วนใหญ่ของของอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนท์ครีเอเตอร์จะมาจากช่องทางดังนี้

1. สปอนเซอร์และรีวิวสินค้า (Brand Sponsorship & Paid Review)

     เป็นเงินได้ประเภทที่ 2 หักค่าใช้จ่ายได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

2. รายได้จากโฆษณา (Ad Revenue)

     เป็นเงินได้ประเภทที่ 8 หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริง

3. การขายสินค้าของตัวเอง (Merchandise & Own Products)

     เป็นเงินได้ประเภทที่ 8 หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริง

4. ค่าธรรมเนียมสมาชิก (Subscription & Exclusive Content)

     แบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้

  • ถ้าเป็นรายได้จากการทำธุรกิจ/บริการ ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริง
  • ถ้าเป็นรายได้จากการอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ในผลงานลิขสิทธิ์ของตนเองเป็นการตอบแทนค่าสมาชิก ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 3 หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริง

5. รายได้จากงานอีเวนท์ (Event & Appearance Fees)

     แบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้

  • ถ้าเป็นรายได้จากการแสดงสาธารณะหรือจากการแสดงในเชิงธุรกิจ ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 หักค่าใช้จ่ายตามจริง หรือหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ไม่เกิน 600,000 บาท
    ส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท หักได้ 60%
    ส่วนที่เกิน 300,000 บาท หักได้ 40%
  • ถ้าเป็นรายได้จากการรับทำงานให้ เช่น การเป็นแขกรับเชิญ หรือได้รับเชิญไปบรรยาย ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 2 หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

6. รายได้จากการทำนายหน้าขายสินค้า (Affiliate Marketting)

     ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 2 หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

7. รายได้จากการให้คำปรึกษา หรือเปิดคอร์ส (Coaching & Courses)

     โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้

  • ถ้าเป็นรายได้จากการให้คำปรึกษา ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 2 หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  • ถ้าเป็นรายได้จากการเปิดคอร์ส ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริง
  • ถ้าเป็นรายได้จากการให้คำปรึกษา โดยผู้ประกอบอาชีพใน 6 สาขาที่กำหนด (เช่น กฎหมาย, บัญชี, วิศวกร, แพทย์ ฯลฯ) หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 30% หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริง

8. รายได้จากการเขียนหนังสือ หรือขายคอนเทนท์

     แบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้

  • ถ้าเป็นรายได้จากการเขียนหนังสือ ที่มีการโอนสิทธิหรืออนุญาตให้ใช้สิทธิ์ (Royalty Fee) ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 3 หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริง
  • ถ้าเป็นรายได้จากการรับจ้างเขียนบทความ เขียนคอนเทนท์เป็นครั้งคราว โดยไม่มีการโอน หรืออนุญาตให้ใช้สิทธิ์ ถือเป็นรายได้ประเภทที่ 2 หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริง
  • ถ้าเป็นรายได้จากการขายคอนเทนท์หรือการขาย E-book ในลักษณะเป็นการขายสินค้าหรือบริการ ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริง


     หลังจากที่ทราบแล้วว่ารายได้แต่ละรูปแบบคือรายได้ในประเภทใดบ้าง ก็ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมถึงภาษีอื่น ๆ ดังต่อไปนี้

1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

     ภาษีหลัก ๆ ที่อินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์จะต้องเสีย คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งคำนวณจากรายได้สุทธิตลอดทั้งปี หลังจากหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนต่าง ๆ แล้วนำรายได้สุทธิมาคำนวณในอัตราก้าวหน้า โดยผู้มีเงินได้จะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีละ 2 ครั้งดังนี้

  • ผู้มีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5-8 ต้องยื่น ภ.ง.ด.94 ภายในวันที่ 30 กันยายน
  • ผู้มีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1-8 ต้องยื่น ภ.ง.ด.90 ภายในวันที่ 30 มีนาคม

*กรณีที่ยื่นออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร จะได้รับการขยายเวลายื่นภาษีออกไปอีก 8 วัน


การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

     สามารถคำนวณได้ 2 วิธี โดยนำมาเปรียบเทียบกัน แล้วเสียภาษีตามวิธีที่คำนวณได้มากกว่า

วิธีที่ 1 คำนวณจากเงินได้สุทธิ

      จำนวนภาษีที่ต้องเสีย = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 

วิธีที่ 2 คำนวณจากเงินได้พึงประเมิน

     ซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมิน ประเภทที่ 2-8 ตั้งแต่ 120,000 บาทขึ้นไป

      จำนวนภาษีที่ต้องเสีย = เงินได้พึงประเมิน x 0.5% 

*ในกรณีที่คำนวณตามวิธีที่ 2 แล้วต้องเสียภาษีน้อยกว่า 5,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษี แต่ต้องเสียภาษีตามวิธีที่ 1


2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

     อีกหนึ่งภาษีที่อินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์ต้องพบเจอบ่อยคือ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อรับค่าจ้างจากแบรนด์ บริษัท หรือเอเจนซี่ต่าง ๆ โดยจะมีการหักภาษีไว้ก่อนจ่ายเงินค่าจ้าง แล้วนำส่งให้กรมสรรพากร พร้อมออกหนังสือรับรองการหัก ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) ให้กับผู้รับเงินสำหรับการยื่นภาษีเงินได้ประจำปี

     ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ใช้เป็นเครดิตภาษี ซึ่งสามารถนำยอดภาษีที่ถูกหักนี้หักออกจากยอดภาษีที่ต้องจ่ายจริงได้ หรือในบางกรณีก็สามารถขอคืนภาษีได้ด้วย


3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

     หลายคนอาจคิดว่าภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT คือเรื่องของบริษัทใหญ่ ๆ เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วอินฟลูเอนเซอร์หรือคอนเทนท์ครีเอเตอร์ที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด ก็ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้เรียบร้อยเช่นเดียวกัน หากมีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากรภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่มีรายได้ถึงเกณฑ์


     หากประกอบอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ หรือคอนเทนท์ครีเอเตอร์ แล้วเริ่มมีรายได้สูง มีทีมงานหลายคน หรือมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ การจดทะเบียนนิติบุคคลไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนจำกัดอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ทั้งในด้านภาษีและการบริหารงาน


     โดยสรุปแล้ว หากประกอบอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ ครีเอเตอร์ ยูทูบเบอร์ หรือว่าทำคอนเทนท์ออนไลน์ในรูปแบบใดก็ตาม แล้วมีรายได้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ก็ถือว่าต้องเสียภาษีเช่นเดียวกับการประกอบอาชีพอื่น ๆ




ที่มา : https://chobaccountingonline.co.th/what-taxes-do-influencers-have-to-pay/






-------------------------------------------------------------------------------------

สอบถามเพิ่มเติม

   บริษัท นคร แอคเค้าน์ติ้ง ซัพพอร์ท จำกัด

   Nakhon Accounting Support

   โทร 063-9782261 , 082-6962896

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้